เมนู

6. อรรถกถามหาปชาบดีโคตมีเถรีคาถา


คาถาว่า พุทฺธวีร นโม ตยตฺถุ ดังนี้เป็นต้น เป็นคาถาของ
พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี.
พระเถรีแม้รูปนี้ ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ก็
บังเกิดในเรือนผู้มีสกุล กรุงหังสวดี รู้เดียงสาแล้ว กำลังฟังธรรมในสำนัก
ของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอต-
ทัคคะเป็นเลิศของภิกษุณีผู้รัตตัญญู ทำกุศลกรรมให้ยิ่งยวดขึ้นไปแล้วปรารถนา
ตำแหน่งนั้น ทำบุญมีทานเป็นต้นจนตลอดชีวิต เที่ยวเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและ
มนุษย์ตลอดแสนกัป ได้บังเกิดเป็นหัวหน้าทาสี 500 ในกรุงพาราณสี ใน
โลกซึ่งว่างพระพุทธเจ้าในระหว่างพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสปะ กับ
พระผู้มีพระภาคเจ้าแห่งเราทั้งหลาย ครั้งนั้น นางได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
5 องค์ ในวันเข้าพรรษา ลงจากเงื้อมเขานันทมูลกะมาที่อิสิปตนะแล้วเที่ยว
บิณฑบาตในเมือง ก็กลับไปอิสิปตนะอีก แสวงหาหัตถกรรมเพื่อสร้างกุฏิในวัน
เข้าพรรษา ได้ชักชวนหญิงรับใช้เหล่านั้นและสามีของตนๆ ให้ช่วยกันสร้าง
กุฏิ 5 หลัง พร้อมด้วยบริวารมีที่จงกรมเป็นต้น ตั้งเตียงตั่งน้ำฉันน้ำใช้และ
ภาชนะเป็นต้นไว้เสร็จ นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้า เพื่ออยู่จำพรรษาตลอด
ไตรมาสในที่นั้นนั่นเอง จึงตั้งภิกษาไว้ถวายตามวาระกัน หญิงคนใดไม่สามารถ
จะถวายภิกษาในวันที่ถึงวาระของตนได้ นางก็นำเอาภิกษาจากเรือนของตน
ไปถวายแทน นางปฏิบัติอยู่อย่างนี้ตลอดไตรมาส เมื่อถึงวันปวารณาให้นาง
ทาสีแต่ละคนสละผ้าสาฏกคนละผืน รวมเป็นผ้าสาฎกเนื้อหยาบ 500 ผืน ให้
จัดผ้าเหล่านั้นทำเป็นไตรจีวรถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า 5 องค์ พระปัจเจก-
พุทธเจ้าทั้ง 5 องค์ ได้เหาะไปสู่ภูเขาคันธมาทน์ต่อหน้าหญิงเหล่านั้นแล.

หญิงเหล่านั้นทุกคนได้ทำกุศลจนตลอดชีวิต แล้วไปบังเกิดในเทวโลก.
หัวหน้าหญิงเหล่านั้น จุติจากเทวโลกนั้นไปบังเกิดในเรือนของหัวหน้าช่างหูก
ในหมู่บ้านช่างหูก กรุงพาราณสี รู้เดียงสาแล้ว ได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้า 500
องค์ซึ่งเป็นพระโอรสของพระนางปทุมวดีรู้สึกนึกรัก ไหว้ท่านทุกองค์แล้วถวาย
ภิกษา. ท่านฉันเสร็จก็กลับไปยังภูเขาคันธมาทน์ หญิงหัวหน้าทาสีนั้นทำกุศล
จนตลอดชีวิตเที่ยวเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ถือปฏิสนธิในพระราชมณ-
เฑียรของพระเจ้ามหาสุปปพุทธะกรุงเทวหะก่อนแต่พระศาสดาของเราทั้งหลาย
เสด็จอุบัติ ได้มีพระนามตามโคตรว่า โคตมี เป็นกนิษฐภคินีของพระนางมหา-
มายา แม้พวกหมอดูลักษณะได้พยากรณ์ไว้ว่า ทารกทั้งหลายที่อยู่ในท้องของ
หญิงทั้งสองคนนี้ จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทรงทำ
มงคลทั้งของพระองค์แล้ว นำไปยังพระราชมณเฑียรของพระองค์ในเวลาเจริญ
พระชนม์.
ต่อมา เมื่อพระศาสดาของเราทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้น ทรงประกาศ
ธรรมจักรอันประเสริฐ ทำการอนุเคราะห์โปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายในที่นั้น ๆ
โดยลำดับ ทรงอาศัยกรุงเวสาลี ประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา พระเจ้าสุทโธทน-
มหาราชทรงทำให้แจ้งพระอรหัตแล้วเสด็จปรินิพพานภายใต้พระมหาเศวตฉัตร
ครั้งนั้น พระนางมหาปชาบดีโคตมีมีพระประสงค์จะผนวช เมื่อทูลขอบรรพ-
ชากะพระศาสดาครั้งแรกไม่ได้ ครั้งที่สองให้ตัดพระเกศาแล้วทรงนุ่งห่มผ้า
กาสายะ พอจบการแสดงกลหวิวาทสูตร ได้เสด็จไปกรุงเวสาลีกับพวกหญิง
บาทปริจาริกาของศากยกุมาร 500 ซึ่งประสงค์จะบวชด้วยกันได้ให้พระ-
อานนท์ทูลอ้อนวอนพระศาสดา จึงได้บรรพชาและอุปสมบทด้วยครุธรรม 8
ประการ ส่วนหญิงนอกนี้ ได้อุปสมบทพร้อมกันทั้งหมด นี้เป็นความสังเขป
ในที่นี้ ส่วนความพิสดารในเรื่องนั้นก็มาในบาลีทั้งนั้น.

ฝ่ายพระนางมหาปชาบดีโคตมี ได้อุปสมบทอย่างนี้แล้วได้เข้าไปเฝ้า
พระศาสดา ถวายอภิวาทแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้งนั้นพระ-
ศาสดาทรงแสดงธรรมแก่พระนางแล้ว พระนางทรงเรียนพระกัมมัฏฐานใน
สำนักของพระศาสดา พากเพียรภาวนาอยู่ ไม่นานนัก ก็ได้บรรลุพระอรหัตที่
แวดล้อมด้วยอภิญญาและปฏิสัมภิทา ส่วนภิกษุณี 500 ที่เหลือได้อภิญญา 6
เมื่อจบนันทโกวาทสูตร. ภายหลังวันหนึ่ง พระศาสดา ประทับนั่งท่ามกลาง
หมู่พระอริยะในพระเชตวันมหาวิหาร กำลังทรงสถาปนาภิกษุณีไว้ในตำแหน่ง
จึงทรงสถาปนาพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศของ
ภิกษุณีฝ่ายรัตตัญญูผู้รู้ราตรีนาน พระนางทรงยับยั้งอยู่ด้วยผลสุข และด้วย
นิพพานสุข ดำรงอยู่ในความกตัญญู ในวันหนึ่ง เมื่อจะทรงพยากรณ์พระ-
อรหัตโดยมุขคือทำการสรรเสริญพระคุณและความที่มีอุปการะก่อนแก่พระ-
ศาสดาให้แจ่มแจ้งจึงได้ตรัสคาถาเหล่านั้นว่า
ข้าแต่พระพุทธเจ้าผู้แกล้วกล้า ผู้สูงสุดกว่าสัตว์
ทั้งปวง หม่อมฉันขอนอบน้อมแด่พระองค์ผู้ทรงช่วย
ปลดเปลื้องหม่อมฉัน และชนอื่นเป็นอันมากให้พ้น
จากทุกข์ หม่อมฉันกำหนดรู้ทุกข์ทั้งปวงแล้ว เผาตัณ-
หาอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ให้เหือดแห้งแล้ว ได้เจริญ
มรรคอันประกอบด้วยองค์ 8 ได้บรรลุนิโรธแล้ว ชน
ทั้งหลายเป็นมารดา เป็นบุตร เป็นธิดา เป็นพี่ เป็น
น้อง เป็นปู่ย่าตายายกันมาในชาติก่อนๆ หม่อมฉัน
ไม่รู้ตามความเป็นจริง ไม่พบที่พึ่ง จึงท่องเที่ยวไป ก็
หม่อมฉันได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล้ว
อัตภาพนี้เป็นอัตภาพสุดท้ายชาติสงสารสิ้นไปแล้ว บัด

นี้ภพใหม่มิได้มี ขอพระองค์โปรดทอดพระเนตรพระ-
สาวกทั้งหลายผู้ปรารภความเพียร ใจเด็ดเดี่ยวมีความ
บากบั่นมั่นคงเป็นนิตย์ มีความพร้อมเพรียงกัน การทำ
โลกุตรธรรมให้ประจักษ์แก่ตนอย่างนี้ เป็นการถวาย
บังคมต่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระนางเจ้ามหามายา
เทวีได้ประสูติพระโคดมมา เพื่อประโยชน์แก่ชน
เป็นอันมากหนอ เพราะพระองค์ได้ทรงบรรเทากอง
ทุกข์ของชนทั้งหลายผู้ถูกพยาธิและมรณะทิ่มแทงแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พุทฺธวีร ได้แก่ ผู้แกล้วกล้าในหมู่ผู้
ตรัสรู้สัจจะ 4 แท้จริงพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ชื่อว่าผู้แกล้วกล้ากว่าผู้มีความ
เพียรสูงสุด หรือท่านผู้ตรัสรู้สัจจะ 4 เพราะทรงได้ชัยชนะ ด้วยการทำกิจให้
สำเร็จด้วยความเพียรคือสัมมัปปธาน 4 อย่าง ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าควรได้
รับคำยกย่องว่าวีระ เพราะทรงประกอบด้วยความเพียรเป็นพิเศษเหตุความ
บริบูรณ์แห่งวิริยบารมี คือการทำกิจให้สำเร็จด้วยสัมมัปปธาน 4 อย่าง ด้วย
การอธิษฐานความเพียรที่ประกอบด้วยองค์ 4 และทรงยังการทำกิจให้สำเร็จ
นั้นประดิษฐานอยู่โดยชอบในสันดานของเวไนยสัตว์. บทว่า นโม ตฺยตฺถุ
ความว่า ขอความนอบน้อมคือการทำความนอบน้อมจงมีแด่พระองค์. บทว่า
สพฺพสตฺตานมุตฺตม ได้แก่ ข้าแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สูงสุดด้วยคุณมีศีล
เป็นต้นในสัตว์ทั้งหลายมีสัตว์ชนิดไม่มีเท้าเป็นต้น. เพื่อแสดงอุปการคุณของ
พระศาสดาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งแห่งคุณมีศีลเป็นต้นนั้นพระนางตรัสว่า โย มํ
ทุกฺขา ปโมจสิ อญฺญญฺจ พหุกํ ชนํ
ดังนี้ เมื่อประกาศความที่ตนพ้น
แล้วจากทุกข์ ได้ตรัสคาถาว่า สพฺพทุกฺขํ ดังนี้.

พระนางเมื่อแสดงวัฏทุกข์ที่ทรงช่วยปลดเปลื้องนั้นโดยเอกเทศ ได้
ตรัสคาถาว่า มาตา ปุตฺโต ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มาตา
ปุตฺโต
เป็นต้น ความว่า ในภพใด ได้เป็นมารดาของบุตรคนหนึ่ง ในภพ
อื่นจากภพนั้นได้เป็นบุตรของคนนั้นแหละ อธิบายว่า ภพต่อไปอีกเป็นบิดา
เป็นพี่ชายน้องชาย. บทว่า ยถาภุจฺจํ อชานนฺตี คือไม่รู้ถึงประวัติและ
เหตุเป็นต้นตามเป็นจริง. บทว่า สํสรึหํ อนิพฺพิสํ พระนางตรัสว่า หม่อม
ฉันเมื่อไม่ประสบ หรือไม่ได้ที่พึ่งในสมุทรคือสงสารวัฏโดยเที่ยวเวียนว่ายตาย
เกิดในภพเป็นต้น ได้ตรัสคำเป็นต้นว่า มาตา ปุตฺโต ดังนี้. อธิบายว่า ใน
ภพใดเป็นมารดาของเขา ต่อจากภพนั้นเป็นบุตรของเขานั่นแหละ ภพต่อไป
อีกก็เป็นบิดา เป็นพี่ชาย น้องชาย.
พระเถรีประกาศความที่ตนพ้นแล้วจากทุกข์ แม้ด้วยคาถาว่า ทิฏฺโฐ
หิ เม
เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิฏฺโฐ หิ เม โส ภควา ความ
ว่า หม่อมฉันได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง พระองค์
นั้น โดยประจักษ์ด้วยจักษุคือญาณโดยการเห็นโลกุตรธรรมที่พระองค์ทรงเห็น
แล้ว. จริงอยู่ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนที่ตรัส
ไว้ว่า ดูก่อนวักกลิ ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นตถาคต ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า อารทฺธวีริเย คือประคองความเพียรไว้แล้ว. บทว่า
ปหิตฺตฺเต คือ ผู้มีจิตส่งไปพระนิพพาน. บทว่า นิจจํ ทฬฺหปรกฺกเม ได้
แก่ ผู้มีความบากบั่นมั่นคงทุกเวลาเพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อความ
ไพบูลย์แห่งธรรมที่บรรลุแล้ว และเพื่อผลสมาบัติ. บทว่า สมคฺเค ได้แก่
ชื่อว่าเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน เพราะถูกรวบรวมไว้ด้วยศีลสามัญญตาและทิฏฐิ
สามัญญตา. ชื่อว่าสาวกเพราะเป็นผู้เกิด ในที่สุดแต่การฟังเทศนาของพระศาสดา.
พระศาสดาทรงเห็นเหล่าสาวกตามเป็นจริงว่า ท่านเหล่านี้ตั้งอยู่ในมรรค เหล่านี้

ตั้งอยู่ในผล. บทว่า เอสาพุทฺธาน วนฺทนา ความว่า การกระทำให้
ประจักษ์แก่ตนซึ่งโลกุตรธรรม อันเป็นสรีรธรรมของพระศาสดาและเป็น
อริยภาวะของพระอริยสาวกทั้งหลายอันใด อันนั้นเป็นการถวายบังคมคือความ
น้อมไปในพระคุณตามความเป็นจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสาวก-
พุทธะทั้งหลาย.
พระเถรีได้ประกาศความที่พระศาสดาเป็นผู้มีอุปการะมากแก่โลก แม้
ด้วยคาถาสุดท้ายว่า พหูนํ วต อตฺถาย เป็นต้น แต่โดยความ. คำที่
ไม่จำแนกไว้ในที่นี้รู้ได้ง่ายทั้งนั้น.
บางคราว พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ ณ
กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน กรุงเวสาลี พระองค์เองก็ประทับอยู่ ณ สำนักภิกษุณี
กรุงเวสาลี ในเวลาเช้าเสด็จเที่ยวบิณฑบาต เสวยภัตตาหารแล้ว ก็ยับยั้งอยู่
ด้วยสุขในผลสมาบัติตามเวลาที่กำหนดไว้ในสถานที่พักกลางวันของพระองค์
ออกจากผลสมาบัติพิจารณาการปฏิบัติของพระองค์เกิดโสมนัสรำพึงถึงอายุสัง-
ขารของพระองค์อยู่ ก็ทรงรู้ว่าอายุสังขารเหล่านั้นสิ้นแล้ว ทรงดำริอย่างนี้ว่า
ถ้ากระไร จำเราจะไปพระวิหารขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้วอำลา
พระเถระทั้งหลาย และเพื่อนสพรหมจารีทุกรูป ซึ่งเป็นที่เจริญใจของตน พึง
มาปรินิพพานเสียในที่นี้นี่แหละ ภิกษุณี 500 รูป ผู้เป็นบริวารของพระนาง
ก็ได้มีความปริวิตกเหมือนพระเถรี ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงได้กล่าวไว้ในคัมภีร์
อปทานว่า1
ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นประทีป
ส่องโลกให้สว่างไสวเป็นสารถีฝึกนรชน ประทับอยู่ ณ
กูฏาคารศาลาป่ามหาวันกรุงเวสาลี ครั้งนั้น พระมหา-

1. ขุ. 33/ข้อ 157 มหาปชาบดีโคตมีเถรีอปทาน.

โคตมีภิกษุณี พระมาตุจฉาของพระชินพุทธเจ้า อยู่ใน
สำนักนางภิกษุณีในพระบุรีอันรื่นรมย์นั้น พร้อมด้วย
ภิกษุ 500 รูป ซึงพ้นจากกิเลสแล้ว พระมหาปชา-
บดีโคตมีนั้น อยู่ในที่สงัดตรึกนึกคิดอย่างนี้ว่า การ
ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าก็ดี ของพระอัครสาวกก็ดี
ของพระราหุล พระอานนท์ และพระนันทะก็ดี เรา
จะไม่ได้เห็น จำเราที่พระโลกนาถผู้แสวงหาคุณอัน
ใหญ่ ทรงอนุญาตแล้ว พึงปลงอายุสังขารแล้วนิพพาน
ก่อนการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าหรือคู่พระอัคร-
สาวก พระมหากัสสป พระนันทะ พระอานนท์ และ
พระราหุล พระภิกษุณีทั้ง 500 รูป ก็ได้ตรึกอย่างนั้น
เหมือนกัน แม้พระเขมาภิกษุณีเป็นต้น ก็ได้ตรึก
เช่นนี้เหมือนกัน ครั้งนั้น เกิดแผ่นดินไหว กลอง
ทิพย์ บันลือลั่นขึ้นเอง ทวยเทพที่สิงอยู่ในสำนัก
ภิกษุณี ถูกความโศกบีบคั้น พร่ำเพ้ออยู่อย่างน่าสงสาร
หลังน้ำตาแล้วในที่นั้น ภิกษุณีทุก ๆ รูป พร้อมด้วย
ทวยเทพเหล่านั้นเข้าไปหาพระมหาโคตมีภิกษุณี ซบ
ศีรษะแทบพระบาทแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า
พวกเราถูกหยดน้ำคือวิมุตติรดแล้วในสำนักพระภิกษุณี
นั้นมาด้วยกัน อยู่ในที่ลับ แผ่นดินนั้นก็ไหวหวั่นสั่น
สะเทือน กลองทิพย์ ก็บันลือลั่นขึ้นเอง และเราได้ยิน
เสียงคร่ำครวญ ข้าแต่พระโคตมีจะต้องมีเหตุอะไรเกิด
ขึ้นแน่ ครั้งนั้น พระมหาปชาบดีโคตมีภิกษุณีได้ตรัส

บอกถึงเหตุตามที่ตนปริวิตกแล้วทุกประการ ลำดับนั้น
พระภิกษุณีทุก ๆ รูป ก็ได้บอกถึงเหตุที่ตนปริวิตก
แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ถ้าพระแม่เจ้าชอบใจ
การนิพพานอันเกษมอย่างยิ่งไซร้ ถึงข้าพเจ้าทั้งหลาย
ก็จักนิพพานกันหมด ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงพระ-
อนุญาต พวกข้าพเจ้าได้ออกจากเรือนจากภพพร้อม
ด้วยพระแม่เจ้า ก็จักไปสู่นิพพานบุรี อันยอดเยี่ยม
พร้อมกับพระแม่พระแม่เจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายก็จักไป
พร้อมกับพระแม่เจ้าเหมือนกัน พระมหาปชาบดีโคตมี
ได้ตรัสว่า เมื่อท่านทั้งหลายจะไปนิพพานเราจักว่า
อะไรเล่า แล้วได้ออกจากสำนักภิกษุณีไปพร้อมกับ
ภิกษุณีทั้งหมด ในครั้งนั้น พระมหาปชาบดีโคตมี
ภิกษุณี ได้กล่าวกะทวยเทพทั้งหลายที่สิงอยู่ ณ
สำนักภิกษุณีว่า จงอดโทษแก่เราเถิด การเห็น
สำนักภิกษุณีของเรานี้ เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย
ในที่ใดไม่มีความแก่หรือความตาย ไม่มีการประกอบ
ด้วยสัตว์และสังขาร อันไม่เป็นที่รักไม่มีการพลัด
พรากจากสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก ที่นั้นนักปราชญ์
กล่าวว่า เป็นอสังขตสถาน พระโอรสของพระสุคต
ทั้งหลายที่ยังไม่ปราศจากราคะ ได้สดับคำของพระนาง
นั้นเป็นผู้โศกกำสรดปริเทวนาการว่า น่าสังเวชหนอ
พวกเราเป็นคนมีบุญน้อย สำนักนางภิกษุณีนี้ จะว่าง
เปล่า เว้นภิกษุณีเหล่านั้น ภิกษุณีผู้ชิโนรสจะไม่

ปรากฏ เปรียบเหมือนดวงดาวทั้งหลายไม่ปรากฏใน
เวลาสว่างฉะนั้น พระโคตมีภิกษุณีจะไปสู่นิพพาน
พร้อมกับภิกษุณี 500 รูปเหมือนกับแม่น้ำคงคาไหลไป
สู่สาครพร้อมกับแม่น้ำ 500 สาย ฉะนั้น อุบาสิกา
ทั้งหลาย ผู้มีศรัทธาเห็นพระโคตมีภิกษุณีนั้น กำลัง
เสด็จไปตามถนน ได้พากันออกจากเรือนหมอบลงแทบ
เท้าแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายเลื่อมใสในพระแม่-
เจ้า พระแม่เจ้าจะละทิ้งข้าพเจ้าทั้งหลายไว้ให้เป็นคน
อนาถาเสียแล้ว พระแม่เจ้ายังไม่สมควรที่จะปรินิพ-
พาน อุบาสิกาเหล่านั้นถูกความอยากให้ท่านอยู่บีบคั้น
แล้วเพื่อจะให้อุบาสิกาเหล่านั้นละเสียซึ่งความโศกพระ
เถรีจึงได้กล่าวอย่างเพราะพริ้งว่า อย่าร่องไห้ไปเลยลูก
เอ๋ย วันนี้เป็นเวลารื่นเริงของท่านทั้งหลาย ความทุกข์
เราก็กำหนดรู้แล้ว ตัณหาอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ เราก็
เว้นขาดแล้ว ความดับทุกข์เราก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว ทั้ง
มรรคเราก็ได้อบรมดีแล้ว. พระศาสดาเราก็ได้บำรุง
แล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเราก็ได้ทำเสร็จแล้ว
ภาระอันหนักเราก็ปลงลงแล้ว ตัณหาอันนำไปในภพ
เราก็ถอนเสียแล้ว คนทั้งหลายออกจากเรือนบวชไม่มี
เรือน เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นเราก็บรรลุแล้ว
โดยลำดับ สังโยชน์ทุกอย่างก็หมดไป. พระพุทธเจ้า
และพระสัทธรรมของพระองค์มิได้บกพร่อง ยังดำรง
อยู่ตราบใด กาลเวลาที่เรานิพพานก็ดำรงอยู่ตราบนั้น

ลูกเอ๋ย อย่าได้เศร้าโศกถึงเราเลย พระโกณฑัญญะ
พระอานนท์และพระนันทะเป็นต้นก็ยังอยู่ พระราหุล
พุทธชิโนรสก็ยังอยู่ พระสงฆ์ก็อยู่ร่วมกันเป็นสุข พวก
เดียรถีย์ก็หายโง่ หายตระด้างแล้ว.
ลูกเอ๋ย ยศของพระผู้เป็นวงศ์ของพระเจ้าโอก-
กากราช ถูกย่องว่า ย้ำยีผู้เป็นมาร กาลเวลาสำหรับ
การนิพพาน เป็นสมบัติของเรามิใช่หรือ.
ลูกเอ๋ย ความปรารถนาอันใดของเรา มีมาเป็น
เวลาช้านาน ความปรารถนาอันนั้น ก็สำเร็จแก่เรา
ในวันนี้ เวลานี้เป็นเวลาที่จะลั่นกลองอานันทเภรี [ตี
กลองแสดงความยินดี] น้ำตาของท่านทั้งหลายจะมี
ประโยชน์อะไรเล่า ถ้าท่านทั้งหลายจะมีความเอ็นดู
ทั้งมีความกตัญญูในเราไซร้ ขอให้ท่านทุกคน จงทำ
ความเพียรมั่น เพื่อความดำรงอยู่แห่งพระสัทธรรมเถิด
พระสัมพุทธเจ้าอันเราทูลอ้อนวอน จึงได้ประทาน
บรรพชาแก่สตรีทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเราร่าเริง ฉัน
ใด ท่านทั้งหลายจึงเจริญรอยตามซึ่งความร่าเริงนั้น
ฉันนั้นเถิด ครั้นพระเถรีพร่ำสอนอุบาสิกาเหล่านี้แล้ว
เสด็จนำหน้า ภิกษุณีทั้งหลาย เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
ถวายบังคมแล้ว ได้กราบทูลดังนี้ว่า ข้าแต่พระสุคต
หม่อมฉันเป็นพระมารดาของพระองค์ ข้าแต่พระธีร-
เจ้า พระองค์เป็นพระบิดาของหม่อมฉัน ข้าแต่พระ

โลกนาถ พระองค์เป็นผู้ประทานความสุข อันเกิดจาก
พระสัทธรรมให้หม่อมฉัน ข้าแต่พระโคดม หม่อม
ฉันเป็นผู้อันพระองค์ทรงทำให้เกิด ข้าแต่พระสุคต
รูปกายของพระองค์นี้ อันหม่อมฉันทำให้เจริญเติบโต
ธรรมกายอันน่าเพลิดเพลินของหม่อมฉัน อันพระองค์
ก็ทรงทำให้เจริญเติบโตแล้ว พระองค์อันหม่อนฉันให้
ดูดดื่มน้ำมัน อันระงับเสียได้ซึ่งความอยากชั่วครู่ ส่วน
หม่อมฉัน พระองค์ก็โปรดให้ดูดดื่มน้ำมันคือธรรมอัน
สงบอย่างยิ่งแล้ว ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ชื่อว่ามิ
ได้ทรงเป็นหนี้หม่อมฉัน เพราะการรักษาไว้ซึ่งพันธะ
อันสตรีทั้งหลายผู้อยากได้บุตรวอนขออยู่ ก็ย่อมจะได้
บุตรเช่นนั้น สตรีที่เป็นพระมารดาของพระนราธิบดีมี
พระเจ้ามันธาตุราชเป็นต้น ขอว่าเป็นมารดาในห้วง
มหรรณพคือภพ ข้าแต่พระโอรส หม่อนฉันผู้จมดิ่ง
อยู่ในห้วงมหรรณพคือภพ อันพระองค์ให้ข้ามสาครคือ
ภพแล้ว พระนามว่ามเหสีพันปีหลวง สตรีทั้งหลายได้
ง่าย พระนามว่าพระพุทธมารดา สตรีทั้งหลายได้ยาก
อย่างยิ่ง ข้าแต่พระมหาวีระ ก็พระนามว่าพระพุทธ-
มารดานั้นหม่อมฉันได้แล้ว ความปรารถนาไม่ว่าน้อย
ใหญ่ของหม่อนฉันทั้งหมดนั้น หม่อมฉันได้บำเพ็ญ
แล้วกับพระองค์ หม่อมฉันปรารถนาเพื่อจะทิ้งร่างนี้
นิพพาน ข้าแต่พระมหาวีระผู้ทำที่สุดทุกข์ เป็นผู้นำ
ขอพระองค์โปรดทรงอนุญาตแก่หม่อมฉันเถิด ขอได้

โปรดทรงเหยียดออกซึ่งพระยุคลบาท อันเกลื่อน
กล่นไปด้วยลายจักร และธงอันละเอียดอ่อนเหมือน
กับดอกบัวเถิด หม่อมฉันจะถวายบังคมพระยุคล-
บาทนั้น จะขอทำความรักเยี่ยงโอรสแด่พระองค์
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นผู้นำ ขอพระองค์โปรดทรง
แสดงพระวรกาย ทำพระสรีระที่สุกปลั่งดังกองทอง
ให้เป็นเหตุปรากฏ หม่อมฉันจึงจะเข้าสู่ปรินิพพาน
พระเจ้าข้า.
พระชินพุทธเจ้า ก็ได้ทรงแสดงพระวรกาย ที่
ประกอบด้วยพระมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ
ประดับด้วยพระรัศมี อันงามเหมือนดวงอาทิตย์ส่อง
แสงอ่อน ๆ ในยามสนธยา กะพระมาตุจฉาเจ้า
ลำดับนั้น พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ได้ซบพระเศียร
ลงแทบพื้นพระบาทอันเป็นประกาย คล้ายดอกบัวบาน
มีพระรัศมีงามดังดวงอาทิตย์ทอแสงอ่อน ๆ พระนาง
ได้กราบทูลว่า หม่อมฉันขอน้อมนมัสการ พระผู้เป็น
อาทิตยวงศ์จอมนรชน ผู้ทรงเป็นธงไชยแห่งอาทิตย-
วงศ์ หม่อมฉันมรณะเป็นครั้งสุดท้าย หม่อมฉันจะไม่
ได้เห็นพระองค์อีก ข้าแต่พระองค์ผู้เลิศแห่งโลก
ธรรมดาสตรีทั้งหลาย ล้วนแก่ก่อโทษทุกอย่างแล้วก็
พากันตายไป ถ้าโทษไร ๆ ของหม่อมฉันมีอยู่ ก็ขอ
พระองค์ได้โปรดกรุณา อดโทษแก่หม่อมฉันด้วยเถิด
อนึ่ง หม่อมฉันได้ทูลซ้ำ ๆ ซาก ๆ ให้สตรีทั้งหลาย

ได้บวช ข้าแต่พระนราสภ ถ้าโทษของหม่อมฉันใน
ข้อนี้มีอยู่ ขอได้โปรดทรงอดโทษนั้นด้วยเถิด ข้าแต่
พระมหาวีระ ทรงไว้ซึ่งการอดโทษ ภิกษุณีทั้ง
หลายอันหม่อมฉันสั่งสอนแล้ว ตามที่พระองค์ทรง
อนุญาต ถ้าในข้อนั้นมีการแนะนำยาก ขอได้โปรด
ทรงอดโทษข้อนั้นด้วยเถิด.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนโคตมี
ผู้ประดับไปด้วยคุณ โทษที่จะพึงอดยังจะมีอะไรใน
เมื่อบอกกล่าวเสีย เมื่อท่านจะไปนิพพาน ตถาคตจัก
กล่าวอะไรแก่ท่านให้มากไปเล่า เมื่อภิกษุสงฆ์ของ
ตถาคตบริสุทธิ์ไม่บกพร่อง ท่านจะออกไปเสียจากโลก
นี้ก็ควร เหมือนเพราะเป็นในเวลาที่ยังมีแสงสว่าง
ของอาทิตย์ที่อัสดงคตแล้ว รอยในดวงจันทร์ก็ออกไป
ฉะนั้น ภิกษุณีทั้งหลาย นอกจากพระมหาปชาบดีโคต-
มีเถรีพากันทำประทักษิณพระชินะพุทธเจ้าผู้เลิศ พระ-
องค์เหมือนหมู่ดาวที่ติดตามดวงจันทร์ เวียนขวาภูเขา
สิเนรุฉะนั้น หมอบลงแทบพระบาทแล้ว ยืนจ้องดู
พระพักตร์ของพระพุทะเจ้ากราบทูลว่า จักษุของหม่อม
ฉันทั้งหลาย ไม่เคยอิ่มด้วยการเห็นพระองค์ โสตของ
หม่อมฉันทั้งหลาย ไม่เคยอิ่มด้วยภาษิตของพระองค์
จิตของหม่อมฉันทั้งหลายดวงเดียวเท่านั้น อิ่มด้วยรส
แห่งธรรมของพระองค์ ข้าแต่พระผู้เป็นจอมนรชน
เมื่อพระองค์บันลืออยู่ในบริษัท กำจัดเสียซึ่งทิฏฐิและ
มานะ ชนเหล่าใดเห็นพระพักตร์ของพระองค์ ชน

เหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้มีบุญ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณ
ชนเหล่าใดประณตน้อมพระยุคลบาทของพระองค์ซึ่งมี
พระองคุลียาว มีพระนขาแดงงดงาม มีส้นพระบาท
ยาว แม้ชนเล่านั้น ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญ.
ข้าแต่พระนโรดม ชนเหล่าใดได้สดับพระดำรัส
ของพระองค์อันไพเราะน่าปลื้มใจ กำจัดโทษเป็น
ประโยชน์เกื้อกูลชนเหล่านั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญ ข้าแต่
พระมหาวีระ หม่อมฉันเอาใจใส่การบูชาพระบาทของ
พระองค์ ข้ามพ้นทางกันดารคือสงสารได้ ด้วยพระ-
สุนทรกถาของพระองค์ผู้ทรงศิริจึงชื่อว่าเป็นผู้มีบุญ
ลำดับนั้นพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ผู้มีวัตรอันงาม
ประกาศในหมู่พระภิกษุสงฆ์แล้วไหว้พระราหุล พระ
อานนท์และพระนันทะ และได้ตรัสดังนี้ว่า ลูกเอ๋ย แม่
เบื่อหน่ายในร่างกายซึ่งเสมอด้วยที่อยู่ของอสรพิษเป็น
ที่พักของโรค เป็นเรือนร่างของทุกข์ เป็นที่โคจรของ
ชราและมรณะ อาเกียรณ์ไปด้วยมลทินโทษต่างๆ
ต้องอาศัยผู้อื่น ปราศจากเรี่ยวแรง ด้วยเหตุนั้น แม่จึง
ปรารถนาจะนิพพานเสีย ลูกเอ๋ย พ่อจงเข้าใจแม่เถิด
พระนันทเถระและพระราหุลผู้น่ารัก เป็นผู้ปราศจาก
ความโศก ไม่มีอาสวะ ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว มีปัญญามี
ความเพียรก็ได้คิดถึงธรรมดาว่า น่าติโลก ที่ปัจจัยปรุง
แต่ง ปราศจากแก่นสารเปรียบด้วยต้นกล้วย เช่นเดียว
กับมายากลและพยัพแดด นอกจากนี้ยังไม่มั่นคง พระ-

ปชาบดีโคตมีเถรี พระมาตุจฉาของพระชินพุทธเจ้า
พระองค์นี้เป็นผู้เลี้ยงดูพระพุทธเจ้าก็ต้องถึงมรณะ ซึ่ง
ไม่เที่ยงเป็นสังขตธรรมทุกอย่างในที่ใด ก็ครั้งนั้นท่าน
พระอานนท์พุทธอนุชา ซึ่งเป็นคนสนิทของพระชิน-
พุทธเจ้ายังเป็นพระเสขบุคคลอยู่ ท่านหลั่งน้ำตาร้องไห้
คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร ณ ที่นั้นว่า พระโคตมีเถรี
ตรัสอยู่หลัด ๆ ก็เสด็จไปนิพพานไม่นานเลย แม่พระ-
พุทธเจ้าก็คงเสด็จไปนิพพานแน่นอน เปรียบเหมือน
ไฟที่หมดเชื้อแล้วฉะนั้น พระโคตมีเถรีได้ตรัสกะท่าน
พระอานนท์ผู้มีสุตะคือปริยัติอันล้ำลึกดังสาคร[พหูสูต]
เอาใจใส่ในการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าซึ่งพร่ำรำพัน
อยู่ดังกล่าวมาว่า ลูกเอ๋ย เมื่อกาลน่าร่าเริงปรากฏขึ้น
แล้ว พ่อไม่ควรที่จะเศร้าโศกถึงการตายของแม่ การ
นิพพานของแม่ใกล้เข้ามาแล้วลูกเอ๋ย พระศาสดา พ่อ
ได้ทูลเชื้อเชิญแล้วจึงได้ทรงอนุญาตให้แม่บวช ลูกเอ๋ย
พ่ออย่าเสียใจไปเลยความยากลำบากของพ่อมีผล ก็บท
ใดอาจารย์ฝ่ายเดียรถีย์เก่า ๆ ไม่เห็น บทนั้นเด็กหญิงซึ่ง
มีอายุ 7 ขวบก็รู้แจ้งประจักษ์แล้ว พ่อจงรักษาพระ-
พุทธศาสนาไว้ แม่เห็นพ่อครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายบุคคล
ไปในทิศใดแล้วไม่ปรากฏ แม่ก็จะไปในทิศนั้นนะลูก
ในกาลบางคราวพระนายกผู้เลิศในโลกกำลังทรงแสดง
ธรรมอยู่ทรงไอแล้ว ครั้งนั้นแม่เกิดสงสารกล่าววาจา
ถวายพระพรว่า ข้าแต่พระมหาวีระ ขอพระองค์จงมี

พระชนม์อยู่นาน ๆ ข้าแต่พระมหามุนี ขอพระองค์จง
ดำรงพระชนม์อยู่ตลอดกัป เพื่อความเกื้อกูลและประ-
โยชน์แก่โลกทั้งปวงเถิด ขออย่าให้พระองค์ทรงพระ
ชราและปรินิพพานเลย พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นได้
ตรัสกะแม่ผู้กราบทูลเช่นนั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนโคตมี
พระพุทธเจ้าทั้งหลายมิใช่บุคคลจะพึงไหว้เหมือนอย่าง
ที่เธอไหว้อยู่ดอก แม่ได้ทูลถามว่า ก็แลด้วยประการไร
เล่า พระพุทธเจ้าจึงชื่อว่าอันบุคคลไม่พึงไหว้ พระองค์
อันหม่อมฉันทูลถามแล้วโปรดตรัสบอกเหตุนั้นแก่
หม่อมฉันเถิด พระองค์ตรัสตอบว่า เธอจงดูพระสาวก
ทั้งหลายผู้ปรารภความเพียร ใจเด็ดเดี่ยว มีความบาก
บั่นมั่นคงเป็นนิตย์พร้อมเพรียงกัน นี้เป็นการไหว้พระ
พุทธเจ้าทั้งหลาย ต่อแต่นั้นแม่ก็ไปสำนักภิกษุณีอยู่ผู้
เดียว ก็คิดได้ว่า พระนาถะผู้ถึงที่สุดแห่งไตรภพทรง
ป้องกันบริษัทที่สามัคคีกัน เอาเถิด แม่จักปรินิพพาน
เสีย ขออย่าได้เห็นความวิบัตินั้นเลย แม่ครั้นคิดดังนั้น
แล้วได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระผู้เป็นฤษีพระองค์ที่
แล้วได้กราบทูลถึงกาลเป็นที่ปรินิพพานกะพระผู้นำ
พิเศษ ลำดับนั้นพระองค์ได้ทรงอนุญาตว่า จงรู้กาลเอา
เองเถิดโคตมี แม่เผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพทั้งปวง
ขึ้นได้แล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกได้เหมือนช้างพังตัดเชือก
แล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การที่แม่มาในสำนักของ
พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดเป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชา

3 แม่ก็บรรลุแล้วโดยลำดับ คำสอนของพระพุทธเจ้า
แม่ได้ทำเสร็จแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้คือปฏิสัมภิทา 4
วิโมกข์ 8 และอภิญญา 6 แม่ทำให้แจ้งแล้ว คำสอน
ของพระพุทธเจ้า แม่ได้ทำเสร็จแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนโคตมี
คนพาลเหล่าใดสงสัยในการตรัสรู้ธรรมของสัตว์ทั้ง
หลาย เธอจงแสดงอิทธิฤทธิ์เพื่อให้คนพาลเหล่านั้น
ละทิฏฐิเสีย ครั้งนั้นพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีถวาย
บังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เหาะขึ้นไปสู่อัมพร
แสดงฤทธิ์เป็นอันมากตามพระพุทธานุญาต คือองค์
เดียวเป็นหลายองค์ก็ได้ หลายองค์เป็นองค์เดียวก็ได้
ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพง
ภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้น
ดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำ ไม่
แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศ
เหมือนนกก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหม-
โลกก็ได้ ทำภูเขาสิเนรุให้เป็นคัน พลิกมหาปฐพีพร้อม
ด้วยรากทำให้เป็นตัวร่ม กั้นร่มเดินจงกรมในอากาศ
ทำโลกให้เป็นควันประหนึ่งเวลาอาทิตย์ 6 ดวง อุทัย
ขึ้น และทำโลกนั้นให้เกลื่อนด้วยพวงดอกไม้ตาข่าย
เหมือนคล้องพวงดอกไม้ไว้ยอดเขายุคนธร เอาพระ-
หัตถ์ข้างเดียวกำภูเขามุจลินท์ ภูเขาสิเนรุ ไว้ในระ-
หว่างมูลนทีทั้งหมด เหมือนดังกำเมล็ดพันธุ์ผักกาด
เอาปลายนิ้วมือบังดวงอาทิตย์พร้อมทั้งดวงจันทร์ไว้

ทัดทรงดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ไว้พันดวง เหมือนทัด
ทรงพวงมาลัยฉะนั้น แบกน้ำในสาครทั้ง 4 ไว้ได้ด้วย
ฝ่าพระหัตข้างเดียว บันดาลฝนตกห่าใหญ่มีอาการ
ปานประหนึ่งหลั่งน้ำเหนื่อยอดเขายุคนธร พระเถรี
นั้น เนรมิตเป็นพระเจ้าจักรพรรดิพร้อมด้วยบริษัท ณ
พื้นนภากาศ แสดงให้เป็นครุฑ คชสาร ราชสีห์
ต่างบันลือเสียงกึกก้องอยู่ องค์เดียวเนรมิตให้เป็นคณะ
ภิกษุณีนับไม่ถ้วน แล้วก็อันตรธานกลับเป็นองค์เดียว
กราบทูลพระมหามุนีว่า ข้าแต่พระมหาวีระผู้มีพระ-
จักษุพระมาตุจฉาของพระองค์เป็นผู้ทำตามคำสอนของ
พระองค์ บรรลุประโยชน์ของตนโดยลำดับแล้ว ขอ
ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์ พระเถรีนั้นครั้น
แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ แล้ว ลงจากพื้นนภากาศถวายบังคม
พระผู้ส่องโลกแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วน
ข้างหนึ่ง กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหามุนี ผู้นำโลก
หม่อมฉันมีอายุได้ 120 ปีนับแต่เกิด เพียงเท่านี้ก็พอ
แล้ว หม่อมฉันจักขอทูลลานิพพาน.
ครั้งนั้น บริษัททั้งหมดนั้นต่างพิศวงยิ่งนักจึง
ได้พากันกระทำอัญชลีถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้าเป็น
อย่างไรพระแม่เจ้า จึงบากบั่นแสดงฤทธิ์ที่ไม่มีอะไร
เทียบได้ พระมหาปชาบดีเถรีได้กล่าวบุรพจรรยา
ของพระองค์ดังต่อไปนี้ว่า
ในแสนกัปนับแต่กัปนี้ไปพระชินพุทธเจ้าพระ
นามว่าปทุมุตตระ ผู้มีจักษุในธรรมทั้งปวง เป็นผู้นำ

ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้วครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดในตระกูล
อำมาตย์ ซึ่งสมบูรณ์ด้วยเครื่องอุปการะทุกสิ่ง มั่งคั่ง
รุ่งเรือง ร่ำรวย ในกรุงหังสวดี บางครั้งข้าพเจ้า
พร้อมด้วยบิดานำหน้าหมู่ทาสีมีบริวารมาก เข้าไปเฝ้า
พระนราสภพระองค์นั้น ได้เห็นพระชินพุทธเจ้า
ผู้ปานดังท้าววาสวะ ยังฝนคือธรรมให้ตกอยู่ เป็น
ไม่มีอาสวะเกลื่อนกล่นไปด้วยระเบียบแห่งรัศมี เช่น
กับดวงอาทิตย์ในสรทกาลแล้ว ทำจิตให้เลื่อมใส และ
สดับสุภาษิตของพระองค์ เห็นพระผู้นำนรชนทรง
สถาปนานางภิกษุณีผู้เป็นพระมาตุจฉาไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะ จึงถวายปัจจัยเป็นอันมากเป็นมหาทานแด่
พระผู้เลิศกว่านรชนผู้คงที่พระองค์นั้น พร้อมทั้งพระ
สงฆ์ตลอด 7 วัน แล้วได้หมอบลงแทบพระบาทมุ่ง
ปรารถนาตำแหน่งนั้น. ลำดับนั้น พระผู้เป็นฤาษี
พระองค์ที่ 7 ได้ตรัสในบริษัทใหญ่ว่า สตรีใดได้นิมนต์
พระผู้นำโลกพร้อมด้วยพระสงฆ์ ให้ฉันตลอด 7 วัน
เราจักพยากรณีสตรีนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวไว้
ให้ดี ในแสนกัปนับแต่กัปนี้ไป พระศาสดาพระนาม
ว่าโคดม ซึ่งทรงสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราชจัก
เป็นศาสดาในโลก สตรีผู้นั้น จักได้เป็นธรรมทายาท
ของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรม-
นิรมิต จักได้เป็นสาวิกาของพระศาสดามีนามว่าโคตมี
จักได้เป็นพระมาตุจฉาบำรุงเลี้ยงชีวิตของพระพุทธเจ้า
พระองค์นั้น จักได้ความเป็นเลิศของภิกษุณีทั้งหลาย

ฝ่ายผู้รู้ราตรีนานครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้สดับพุทธพยา-
กรณ์นั้นแล้ว มีใจปราโมทย์บำรุงพระชินพุทธเจ้าด้วย
ปัจจัยทั้งหลายตราบเท่าสิ้นชีวิต ต่อจากนั้น ข้าพเจ้า
ได้ทำกาลกิริยา ไปบังเกิดในพวกเทพเหล่าดาวดึงส์
ผู้ซึ่งให้สำเร็จสิ่งน่าใคร่ได้ทุกประการ ล่วงล้ำทวยเทพ
อื่นๆ ด้วยองค์ 10 ประการ คือด้วยรูป เสียง กลิ่น
รส ผัสสะ อายุ วรรณะ สุข ยศและรุ่งเรืองล้ำทวยเทพ
อื่น ๆ ด้วยอธิปไตยความเป็นใหญ่ ข้าพเจ้าได้เป็นพระ
มเหสีผู้น่าเอ็นดูของท้าวอมรินทร์ในสวรรค์ชั้นดาว
ดึงส์นั้น ก็ข้าพเจ้าท่องเที่ยวอยู่ในสงสารเป็นผู้อันพายุ
คือกรรมพัดพาไปเกิดในตำบลบ้านของทาสในอาณา
เขตของพระเจ้ากาสี ครั้งนั้นทาส 500 ถ้วนอาศัยอยู่
ในบ้านนั้น ข้าพเจ้าได้เป็นภรรยาของหัวหน้าทาสใน
ตำบลบ้านนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้า 500 องค์ ได้เข้า
ไปบ้านเพื่อบิณฑบาต ข้าพเจ้ากับญาติทุกคน เห็น
พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นก็มีความยินดีช่วยกันสร้าง
กุฏิ 500 หลัง อุปัฏฐากอยู่ 4 เดือนแล้วถวายไตรจีวร
ข้าพเจ้ากับสามีก็พากันท่องเที่ยวไป จุติจากนั้นข้าพเจ้า
พร้อมกับสามีก็ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ บัดนี้ภพสุด
ท้ายข้าพเจ้าเกิดในกรุงเทวทหะ พระชนกของข้าพเจ้า
พระนามว่า อัญชนศากยะ พระชนนีของข้าพเจ้า
พระนามว่าสุลักขณา ต่อมาข้าพเจ้าได้ไปพระราช-
นิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนะในกรุงกบิลพัสดุ์ สตรี
นอกนั้นเกิดในตระกูลศากยะ แล้วก็ไปเรือนของพวก

เจ้าศากยะด้วยกัน แต่ข้าพเจ้าประเสริฐกว่าสตรีทุกคน
ได้เป็นผู้บำรุงเลี้ยงพระชินพุทธเจ้า พระโอรสของ
ข้าพเจ้าเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์แล้วได้เป็นพระ
พุทธเจ้า เป็นผู้นำพิเศษ ภายหลังข้าพเจ้าพร้อมด้วย
เจ้าสากิยานี 500 จึงได้บวช แล้วก็ได้ประสบสันติสุข
พร้อมด้วยเจ้าสากิยานีผู้เป็นบัณฑิต สามีของข้าพเจ้า
ที่ได้ทำบุญร่วมกันมาแต่ชาติก่อนในครั้งนั้น เป็นผู้ทำ
มหาสมัยประชุมใหญ่อันพระสุคตทรงอนุเคราะห์แล้ว
ก็พากันบรรลุพระอรหัต.
ภิกษุณีทั้งหลาย นอกจากพระมหาปชาบดีเถรี
นั้นได้พากันเหาะขึ้นสู่นภากาศ เป็นผู้ประกอบด้วย
มหิทธิฤทธิ์รุ่งโรจน์เหมือนดวงดาวทั้งหลาย อันโคจร
เป็นกลุ่มกันไป ครั้งนั้นภิกษุณีเหล่านั้นได้แสดงฤทธิ์มิ
ใช่น้อยเหมือนนายช่างทองผู้ชำนาญการทำทอง แสดง
เครื่องประดับหลากชนิด ฉะนั้น.
ในครั้งนั้น ภิกษุณีเหล่านั้น แสดงปาฏิหาริย์ได้
วิจิตรหลายอย่าง ทำพระมุนีผู้เป็นพระศาสดาผู้ประ-
เสริฐ พร้อมทั้งบริษัทให้ชอบใจแล้ว ได้พากันลง
จากนภากาศถวายบังคมพระศาสดาพระผู้เป็นฤษีพระ-
องค์ที่ 7 อันพระศาสดาผู้เป็นยอดของนรชนทรงอนุ-
ญาตแล้วจึงได้นั่ง ณ สถานที่อันสมควร แล้วได้กราบ
ทูลว่า ข้าแต่พระมหาวีระ โอหนอพระโคตมีเถรี เป็น
ผู้อนุเคราะห์ข้าพระองค์ทุก ๆ คน พวกข้าพระองค์อัน
บุญบารมีของพระองค์อบรมแล้ว จึงพากันบรรลุธรรม
เป็นที่สิ้นอาสวะ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผากิเลสได้แล้ว


ถอนภพทั้งปวงได้แล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกเหมือนช้าง
ตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่. การที่ข้าพระองค์
ทั้งหลายมาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด
เป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชา 3 พวกข้าพระองค์บรรลุ
แล้วโดยลำดับ คำสอนของพระพุทธเจ้า พวกข้าพระ-
องค์ก็ได้ทำเสร็จแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา
4 วิโมกข์ 8 และอภิญญา 6 ข้าพระองค์ทั้งหลายทำ
ให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าอันข้าพระองค์
ทั้งหลายได้ทำเสร็จแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความ
ชำนาญในฤทธิ์และทิพโสตธาตุ ข้าแต่พระมหามุนี
ข้าพระองค์ทั้งหลายชำนาญเจโตปริยญาณ รู้ปุพเพนิ-
วาสญาณชำระทิพยจักษุได้แล้ว สิ้นอาสวะหมดแล้ว
บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ข้าแต่พระมหาวีระ ข้าพระองค์ทั้ง
หลายมีญาณในอรรถธรรมนิรุตติและปฏิภาณ ญาณนั้น
เกิดที่สำนักของพระองค์ ข้าแต่พระมหามุนีผู้ทรงเป็น
ผู้นำ พระองค์เป็นผู้อันข้าพระองค์ทั้งหลายผู้มีเมตตา
จิต บำรุงแล้ว ขอพระองค์โปรดทรงอนุญาตให้ข้า-
พระองค์ทั้งหมดนิพพานเถิด.
พระชินพุทธเจ้าตรัสว่า เธอทั้งหลายเมื่อพูด
อย่างนี้ว่า จักนิพพาน ตถาคตจักไปว่าอะไร ก็บัดนี้
เธอทั้งหลายจงสำคัญกาลเวลาของเธอเอาเองเถิด.
ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้นมีพระปชาบดีโคตมี
เถรีเป็นต้น ถวายบังคมพระชินพุทธเจ้าแล้วได้พากัน

ลุกจากที่นั่งนั้นมา พระธีรเจ้าผู้นำเลิศของโลกพร้อม
ด้วยหมู่ชนเป็นอันมาก ได้เสด็จไปส่งพระมาตุจฉาจน
ถึงซุ้มประตู.
ครั้งนั้นพระปชาบดีโคตมีเถรีพร้อมด้วยภิกษุณี
ทั้งหมด ได้พากันหมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระ
ศาสดาผู้เป็นพงศ์พันธุ์ ของโลกกราบทูลว่า นี้เป็น
การถวายบังคมพระยุคลบาทครั้งสุดท้ายของหม่อมฉัน
การได้เห็นพระองค์ผู้เป็นนาถะของโลกครั้งนี้ ก็เป็น
ครั้งสุดท้าย หม่อมฉันจักไม่ได้เห็นพระพักตร์ของ
พระองค์ซึ่งมีอาการดุจอมตะอีก ข้าแต่พระมหาวีระ
ผู้เลิศของโลก การถวายบังคมของหม่อมฉันจักไม่
สัมผัสพระยุคลบาทของพระองค์ ซึ่งละเอียดอ่อนดี
วันนี้หม่อมฉันจะนิพพาน.
พระศาสดาตรัสว่า ประโยชน์อะไรของเธอ
ด้วยรูปนี้ในปัจจุบัน รูปนี้ล้วนปัจจัยปรุงแต่ง ไม่น่า
ยินดีเป็นของต่ำทราม. พระมหาปชาบดีเถรีพร้อมด้วย
ภิกษุณีเหล่านั้น ไปสำนักของภิกษุณีของตนแล้ว นั่ง
พับเพียบบนอาสนะอันประเสริฐ.
ครั้งนั้น อุบาสิกาทั้งหลายในพระนครนั้นผู้มี
ความเคารพรักในพุทธศาสนา ได้สดับประพฤติเหตุ
ของพระเถรี ก็พากันเข้าไปหา นมัสการแทบบาทมูล
เอากรข้อนอุระประเทศร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสง-
สาร เต็มกลั้นด้วยความโศกเศร้า ก็ล้มลงที่พื้นพสุธา
ดุจเถาวัลย์รากขาดฉะนั้น พากันรำพันว่า ข้าแต่พระ


แม่เจ้า ผู้เป็นนาถะให้ที่พึ่งแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย พระแม่
เจ้าอย่าละทิ้งข้าพเจ้าทั้งหลายไปสู่นิพพานเลย ข้าพเจ้า
ทุกคนขอซบเกล้าอ้อนวอน. พระมหาปชาบดีเถรีลูบ
ศีรษะของอุบาสิกา ผู้มีศรัทธา มีปัญญาซึ่งเป็นหัวหน้า
ของอุบาสิกาเหล่านั้นกล่าวดังนี้ว่า ลูกเอ๋ย ความโศก
สลด ซึ่งตกอยู่ในบ่วงแห่งมารไม่ควรเลย สังขตธรรม
ทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง การพลัดพรากกันเป็นที่สุด หวั่น
ไหวไปมา. ต่อแต่นั้น พระเถรี ก็สละอุบาสิกา
เหล่านั้น เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และ
จตุตถฌาน แล้วเข้าอากาสานัญจายตนฌาน วิญญา-
ณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน และเนวสัญ-
ญานาสัญญายตนฌานตามลำดับแล้ว พระปชาบดี
โคตมีเถรีก็เข้าฌานทั้งหลายใดยปฏิโลมแล้ว ก็เข้า
ปฐมฌานไปตราบเท่าถึงจตุตถฌาน ออกจากจตุตถ-
ฌานนั้นแล้วก็ดับ เหมือนเปลวประทีปที่ปราศจากเชื้อ
แล้วดับไปฉะนั้น ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ สายฟ้าก็
ตกลงจากนภากาศ กลองทิพย์ก็บันลือลั่นขึ้นเอง ทวย-
เทพพากันคร่ำครวญ และฝนดอกไม้ก็ตกจากอากาศ
ลงยังพื้นแผ่นดิน แม้ขุนเขาเมรุราชก็กัมปนาทหวั่น
ไหวเหมอนนักฟ้อนรำในท่ามกลางเวทีฟ้อนรำ ฉะนั้น
สาครก็ปั่นป่วนตีฟองคะนองเพราะความโศก ทวยเทพ
นาค อสูรและพรหมต่างก็พากันสลดใจ กล่าวขึ้นใน
ทันใดนั้นเองว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ เหมือน
อย่างพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีนี้ ถึงความย่อยยับไป

แล้ว และพระเถรีทั้งหลาย ผู้ทำตามคำสอนของพระ
ศาสดา ซึ่งแวดล้อมพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรีนี้ก็
พากันปรินิพพาน เหมือนเปลวประทีปหมดเชื้อฉะนั้น
โอ้ ความพบกัน ก็มีความพลัดพรากกันเป็นที่สุด
โอ้ สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งล้วนแต่ไม่เที่ยง โอ้ ชีวิต
มีความหายสูญเป็นที่สุด ความพิไรรำพัน ได้มีแล้ว
ด้วยประการฉะนี้.
ในลำดับนั้นเทวดาและพรหม ต่างก็ทำความ
ประพฤติตามโลกธรรมตามสมควรแก่กาลแล้ว เข้า
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้เป็นยอดฤษี พระ
องค์ที่ 7.
ครั้งนั้น พระศาสดาได้ตรัสเรียกท่านพระอา-
นนท์ผู้พหูสูตมาสั่งว่า อานนท์ เธอจงไปประกาศ
ให้ภิกษุทั้งหลาย ทราบถึงการนิพพานของพระมารดา
เวลานั้น ท่านพระอานนท์ผู้ร่าเริง ก็ไร้ความร่าเริงมี
ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา ได้กล่าวด้วยเสียงร้องไห้ว่า
ขอภิกษุทั้งหลายผู้เป็นโอรสของพระสุคต ซึ่งอยู่ใน
ทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก และทิศเหนือ
จงมาประชุมกัน ภิกษุณีผู้ทำพระสรีระสุดท้ายของ
พระมุนีให้เติบโตด้วยน้ำมัน มีนามว่าพระปชาบดี
โคตมีเถรีนิพพานถึงความสงบเหมือนดวงดาวทั้งหลาย
เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยฉะนั้น พระเถรีตั้งบัญญัติทำให้
รู้กันทั่วไปว่า เป็นพระพุทธมารดา นิพพานแล้วใน
ที่ใด ถึงคนมี 5 ตาก็แลไม่เห็น ในที่นั้นพระผู้มีพระ

ภาคเจ้า ซึ่งเป็นผู้นำ ทรงเห็นได้ ขอพระโอรสของ
พระสุคตผู้มีความเชื่อในพระสุคต หรือเป็นศิษย์ของ
พระมหามุนี จงทำสักการะแด่พระพุทธมารดาเถิด
ภิกษุทั้งหลายถึงอยู่ไกล ได้ฟังคำประกาศนั้นแล้วก็รีบ
มา บางพวกมาด้วยพุทธานุภาพ บางพวกที่ฉลาดใน
ฤทธิ์ก็มาด้วยฤทธิ์ ต่างช่วยกันยกเอาเตียงที่พระโคตมี
เถรีหลับขึ้นไว้ในเรือนยอด [เมรุ] อันประเสริฐ น่า
รื่นรมย์ ทำด้วยทองล้วนๆ งดงาม ท้าวโลกบาลทั้ง
สี่เอาบ่าเข้ารองรับเรือนยอด ทวยเทพที่เหลือมีท้าว
สักกะเป็นต้นเข้าช่วยรับเรือนยอด ก็เรือนยอดทั้งหมด
มี 500 หลัง แท้จริงวิสสกรรมเทพบุตรเนรมิตมีสี
เหมือนดวงอาทิตย์ในสรทกาล ทวยเทพทั้งหลายได้
แบกภิกษุณีทุกๆ รูปที่นอนอยู่บนเตียงแล้ว นำเอา
ออกไปตามลำดับ พื้นนภากาศถูกเอาเพดานบังไว้ทั่ว
ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์พร้อมทั้งดวงดาวซึ่งสำเร็จด้วย
ทองได้ถูกติดประดับไว้ที่เพดานนั้น ธงปฏากได้ถูกยก
ขึ้นไว้เป็นอันมาก จิตกาธารทั้งหลายมีดอกไม้เป็น
เครื่องปกคลุม ดอกบัวที่เกิดขึ้นในอากาศเอาปลายลง
ดอกไม้ผุดขึ้นจากแผ่นดิน ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์
คนมองดูเห็นได้ และดาวทั้งหลายส่องแสงระยิบระยับ
อนึ่ง ดวงอาทิตย์ถึงจะโคจรไปในเวลาเที่ยง ก็ไม่ทำ
ใคร ๆ ให้ร้อน เหมือนดวงจันทร์ ทวยเทพทั้งหลาย
พากันบูชาด้วยของทิพย์คือของหอมและดอกไม้ที่หอม
ตระหลบ และการฟ้อนรำขับร้องดีดสีตีเป่า พวกนาค

อสูรและพรหม ต่างก็พากันบูชาพระพุทธมารดาผู้นิพ-
พานแล้ว กำลังถูกเขานำออกไปตามสติกำลัง ภิกษุณี
ทั้งหลาย ผู้เป็นโอรสของพระสุคต ซึ่งนิพพานแล้ว
ทั้งหมด เชิญไปข้างหน้า พระปชาบดีโคตมีเถรี
พุทธมารดา ผู้อันเทวดาและมนุษย์สักการะเชิญเอาไป
ข้างหลัง เทวดา มนุษย์ พร้อมด้วย นาค อสูรและ
พรหมไปข้างหน้า ข้างหลังพระพุทธเจ้าพร้อมด้วย
พระสาวกเสด็จไปเพื่อบูชาพระมารดา การปรินิพพาน
ของพระพุทธเจ้าหาได้เป็นเช่นนี้ไม่ การปรินิพพาน
ของพระปชาบดีโคตมีเถรี อัศจรรย์ยิ่งนัก ในเวลา
พระพุทธเจ้าเสด็จนิพพาน ไม่มีพระพุทธเจ้าและภิกษุ
ทั้งหลาย มีพระสารีบุตรเป็นต้น เหมือนในเวลา
พรูปชาบดีโคตมีเถรีนิพพาน ซึ่งมีพระพุทธเจ้าและ
ภิกษุทั้งหลายมีพระสารีบุตรเป็นต้น ชนทั้งหลายช่วย
กันทำจิตกาธารซึ่งสำเร็จด้วยของหอมล้วนและเกลื่อน
ไปด้วยจุรณแห่งเครื่องหอม แล้วเผาภิกษุณีเหล่านั้น
บนจิตกาธารนั้น ส่วนแห่งสรีระนอกนั้นถูกไฟไหม้สิ้น
เหลือแต่อัฐิ ในเวลานั้น ท่านพระอานนท์ได้กล่าว
วาจาอันให้เกิดความสังเวชว่า พระปชาบดีโคตมีเถรี
เข้านิพพานแล้ว พระสรีระของพระเถรีก็ถูกเผาแล้ว
การนิพานของพระพุทะเจ้าน่าสังเกต อีกไม่นานก็
คงจักมี ต่อจากนั้น ท่านพระอานนท์อันพระพุทธเจ้า
ทรงตักเตือนท่าน ได้น้อมพระธาตุของพระปชาบดี-
โคตมีเถรี ซึ่งอยู่ในบาตรของพระเถรีเข้ามาถวายแด่

พระโลกนาถพระผู้มีพระภาคเจ้าพระผู้เป็นฤษีพระองค์
ที่ 7 ได้ประคองพระธาตุเหล่านั้นด้วยฝ่าพระหัตถ์แล้ว
ตรัสว่า เพราะสังขารเป็นสภาพไม่เที่ยง โคตมีผู้เป็น
ใหญ่กว่าหมู่ภิกษุณียังต้องนิพพาน เหมือนลำต้นของ
ต้นไม้ใหญ่ที่มีแก่นยืนต้นอยู่ ถึงจะใหญ่โตก็ต้องผุพัง
ไปฉะนั้น ดูเอาเถิดอานนท์ พระพุทธมารดาแม้
นิพพานแล้วเหลือแต่เพียงสรีระ ก็ไม่มีความเศร้าโศก
ปริเทวนาการ.
ท่านพระอานนท์ทูลว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ
พระมารดาของข้าพระองค์ แม้นิพพานแล้วเหลือแต่
เพียงสรีระ ก็ไม่มีความโศกปริเทวนาการ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า โคตมี ข้ามสาครคือ
สงสารไปแล้ว ละเว้นเหตุอันทำให้เดือดร้อนได้แล้ว
เป็นผู้เยือกเย็นดับสนิทดีแล้ว อันผู้อื่นไม่ควรเศร้าโศก
ถึง โคตมีเป็นบัณฑิต มีปัญญามากและมีปัญญากว้าง
ขวาง ทั้งเป็นผู้รู้ราตรีนานกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงทรงจำไว้อย่างนี้เถิด โคตมี
เป็นผู้ชำนาญในฤทธิ์ ทิพโสตธาตุ และมีความชำนาญ
ในเจโตปริยญาณ รู้ทั่วถึงปุพเพนิวาสญาณ ชำระ
ทิพยจักษุให้หมดจด สิ้นอาสวะหมดแล้ว บัดนี้ภพ
ใหม่ไม่มี ญาณในอรรถะ ธรรมะ นิรุตติและปฏิภาณ
บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรจะเศร้าโศกถึงโคตมี
นั้น คติของไฟที่ลุกโพลง ถูกแผ่นเหล็กทับแล้วดับไป
โดยลำดับ ใคร ๆ ก็รู้ไม้ได้ฉันใด คติของท่านที่หลุด
พ้นจากกิเลสโดยชอบแล้ว ข้ามพ้นโอฆะคือพันธะทาง

กามบรรลุอจลบท บทที่ไม่หวั่นไหวแล้ว ก็ไม่มีใครจะรู้
ได้ฉันนั้น เพราะฉะนั้น เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นที่พึ่ง
มีสติปัฏฐานเป็นทางดำเนินเถิด เธอทั้งหลายอบรม
โพชฌงค์ 7 ประการแล้ว จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.

ทราบว่า พระมหาปชาบดีโคตมีภิกษุณีได้ตรัสคาถาเหล่านี้ ด้วยประ
การฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามหาปชาบดีโคตมีเถรีคาถา

7. คุตตาเถรีคาถา


[457] พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประทานโอวาทโปรดข้าพเจ้าว่า
ดูก่อนคุตตา การละบุตร สมบัติและของรักออก
บวช เพื่อประโยชน์แก่นิพพานอันใด เธอจงพอกพูน
นิพพานอันนั้นเนือง ๆ เถิด เธออย่าตกอยู่ในอำนาจ
จิตนะ สัตว์ทั้งหลาย ผู้ไม่รู้แจ้ง ถูกจิตลวงแล้ว พา
กันท่องเที่ยวไปสู่ชาติสงสารนี้ใช่น้อย ก็ไม่รู้.
ดูก่อนภิกษุณี เธอจงละขาดสังโยชน์อันเป็น
ส่วนเบื้องต่ำเหล่านี้ คือ กามฉันทะ พยาบาท สักกาย-
ทิฏฐิ สีลัพพตปรามาส และวิจิกิจฉา เป็นที่ครบ 5
เธออย่า สีลัพพตมาสู่กามอีกนะ เธอจงละเว้นราคะ มานะ
อวิชชา อุทธัจจะ และตัดสังโยชน์ทั้งหลายเสียแล้ว ก็
จักทำที่สุดทุกข์ได้ เธอทำชาติสงสารให้สิ้นไปแล้ว
กำหนดรู้ภพใหม่ หมดความทะยานอยาก จักเป็นผู้สงบ
ระงับ เที่ยวไปในปัจจุบัน.

จบคุตตาเถรีคาถา